วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2563

คำถามจากลิงสามตัว

ขออภัยที่ต้องปล่อยวางเรื่องการเมือง วันนี้ผมไม่อยากได้ยินเสียงหรือเห็นภาพการยื้อยุดฉุดกระชากเข้าจับกุมผู้เข้าร่วมชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เห็นแล้วความดันพุ่ง บางครั้งเครียดจนร่างกายออกอาการ ตอนนำถาดอาหารไปส่งพี่ชายที่ชั้น ๓ แค่ได้ยินเสียงก็ยังอดปี๊ดไม่ได้...

3 wise monkeys - ภาพจากวิกิพีเดีย (ขอขอบคุณ)

๑๔ ตุลา ปี ๑๖ ช่วงประมาณตอนนี้แหละที่ผมวิ่งอยู่กลางท้องสนามหลวง ท่ามกลางความวุ่นวายสับสน เสียงปืนที่ได้ยินมาจากด้านกรมประชาสัมพันธ์และภาพผู้หญิงคนหนึ่งล้มลง แม้ผ่านมาเกือบ ๕ ทศวรรษ ทุกวันนี้มันก็ยังไม่ถูกลบออกจากสมองอันเหนื่อยล้าของผม ผมไม่อยากพูดถึงมัน ไม่อยากเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นอีก 

ภาพเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา - ภาพจาก PANASIA / AFP

ต้องขอหลัก 3 wise monkeys เป็นที่พึง วิกิพีเดียกล่าวว่า...

The three wise monkeys are a Japanese pictorial maxim, embodying the proverbial principle "see no evil, hear no evil, speak no evil". The three monkeys are Mizaru, who sees no evil, covering his eyes; Kikazaru, who hears no evil, covering his ears; and Iwazaru, who speaks no evil, covering his mouth.

ไม่รับฟังข่าวสาร ไม่ฟังเพลง ผมนั่งอยู่เงียบ ๆ หน้าคอมพ์ฯ อ่านคุณบุ๊คส์ (ไม่อยากเรียกอี อิอิ) อย่างเพลิดเพลินและได้ความรู้.... 

ในหนังสือ "Every Inch of the Way; My Bike Ride Around the World" หน้า ๑๙ Tom Bruce เขียนไว้ว่า...

Halfway along the reservoir we met a German lady; at a guess she was in her seventies, riding a bike with far more gear attached than I had and almost as quickly. She was clearly incredibly fit and was soon telling us stories of places she had been. She didn’t have a home and lived on her bike, but it didn’t seem as though she was forced to do so; it was choice to live that way because she said she had money. On her bike rack, she carried a large tent and two sleeping bags to make it look like she had company every night for security. I pondered her lifestyle for a few hours after we left her and thought it must be very lonely. Although I was very much enjoying cycle touring, she was a permanent cyclist living in a bubble on her own, away from society and the ‘real’ world. I wondered what she had left behind. That lifestyle definitely wasn’t for me; I want a family and a career one day, and felt that it would be very difficult to return to normality after such a long time on the road. She probably never wanted to return though..
ไม่ว่าเมืองไทยจะดีขึ้นหรือแย่ลง ตาแก่เมืองรถม้าขอใช้ชีวิตแบบป้าเยอรมันคนนั้นได้หรือไม่?

 
ทัสซูเฮะจะพาตาแก่วัย ๗๐ ไปทิ้งไว้บนยอดเขาได้หรือเปล่า?

เป็นเรื่องที่น่าคิดและน่าหาคำตอบไม่น้อย!

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563

final trip - สนุกกับตัวเลข

วันนี้มาลองฝึกบวกเลขกันหน่อย (เอาแบบไม่ใช้เครื่องคิดเลขน้า)  ๖,๓๔๘ + ๔,๔๐๔ + ๑,๘๐๓ = ๑๒,๕๕๕
 

  • episode I  เดินทางจากจุดเริ่มต้นที่บ้านห้างฉัตรลำปางจนถึงมะละกา นั่งเรือข้ามไปสุมาตราเหนือ ปั่นต่อถึงบาหลี คือ ระยะทาง ๖,๓๔๘ กิโลเมตร ใช้เวลา ๖ เดือน 
  • episode II บินจากเดนปาซาร์ไปเพิร์ธ ปั่นจากตะวันตกไปตะวันออก สิ้นสุดที่ซิดนีย์  ระยะทาง ๔,๔๐๔ กิโลเมตร ใช้เวลา ๖ เดือน  
  •  episode III (สุดท้าย) บินจากซิดนีย์ไปไครสต์เชิร์ช (Christchurch) ปั่นอีก ๑,๘๐๓ กิโลเมตร ถึงถึงจุดหมายที่โรตัวรัว ใช้เวลา ๓ เดือน

     

๑๒,๕๕๕ เป็นตัวเลขที่น่าสนใจครับ ถ้าปั่นจักรยานวันละ ๔๐ กิโลเมตร (+ -) ทุกวัน ก็ต้องใช้เวลาประมาณ ๑ ปี บวกเพิ่มอีก ๑ ปีสำหรับการแวะพัก รวมแล้วเป็น ๒ ปี
 
ค่าใช้จ่ายวันละ ๓๐๐ บาท ปีนึงก็ตกประมาณ ๑๐๘,๐๐๐ สองปีก็ ๒๑๖,๐๐๐   
ค่าวีซ่า + ค่าเรือ + ค่าเครื่องบิน รวมประมาณ ๔๐,๐๐๐ บาท 
นำเงินไปใช้หนี้เพื่อนที่นิวซีแลนด์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท
รวมแล้วผมต้องมีเงินฝากไว้ในบัญชีบัตรเครดิตอย่างน้อยก็ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ก็ใช้เงินที่ได้คืนมาจากบริษัทประกันชีวิตนั่นแหละ

ทริปนี้จะเกิดขึ้นจริงก็ขึ้นอยู่กับว่าตาแก่เมืองรถม้าจะมีสุขภาพดีและแข็งแรงพอสำหรับการเดินทางไกลในปี ๒๕๖๖ หรือไม่?  สถานการณ์ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นแค่ไหน?
 
 
หากฝันเป็นจริง เมื่อถึงจุดหมายแล้ว ถ้าไม่ตาย  ไม่เดี้ยง หรือไม่หลงกลิ่นกำมะถัน ก็จะกลับมาเมืองไทยเมื่อวัย ๗๕

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2563

คำถาม-คำตอบ ๕ ข้อแรก

 

ก่อนหน้านี้ช่างเหอะได้ซ่อมเป้ติดตะแกรงหลังให้หายรั่ว รวมทั้งทำ panniers คู่หน้าใส่ให้ทัสซูเฮะเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปนอกจากนั่งมองเจ้าเพื่อนใหม่...ผมก็ต้องทำลิสต์และจัดข้าวของเตรียมไว้ให้พร้อม

ขอบคุณเดชาผู้เข้าใจความคิดของผม แม้จะไม่สนับสนุนแต่เพื่อนศิลปินก็มิได้ตำหนิหรือมีคำถามที่แสดงว่าไม่เห็นด้วย ลุงหยางแห่งแม่ฮ่องสอนก็ประสงค์จะส่ง pannier (กันน้ำ) มาให้ใช้ในการเดินทาง สามปีจากนี้ไปไม่นานเลย นึกแล้วบางครั้งก็ใจหาย คิดว่าถ้าไปแล้วไปลับ ไม่กลับมา ผมก็มีเวลาอีกแค่เพียงพันกว่าราตรี!

คำถาม - ทำไม final trip ต้องเป็นปลายปี ๒๕๖๖? 

คำตอบ - ผมต้องรอเงินคืนจากประกันชีวิตที่ทำไว้จำนวน ๓ แสนบาท เพื่อใช้เป็นทุนในการเดินทาง ซึ่งจะครบดิวในปี ๒๕๖๖

คำถาม - อะไรที่จะทำให้ไม่ได้ไปตามแผนที่วางไว้?

คำตอบ - สุขภาพก่อนออกเดินทางไม่อำนวย หรือเส้นทางจนถึงเป้าหมายไม่เคลียร์อย่างที่เป็นทุกวันนี้

คำถาม - ไม่ห่วงผู้ที่ต้องคอยดูแลทุกวันนี้หรือ?

คำตอบ - เมื่อถึงตอนนั้น วันที่ล้อจักรยานทัสซูเฮะพาผมมุ่งหน้าออกจากประเทศไทยได้ ผมจะไม่หันหลังกลับมามอง เหมือนกับในเรื่อง The ballad of Narayama เมื่อลูกชายคนโตผู้แบกแม่วัย ๗๐ไปทิ้งบนยอดเขาถูกกำชับว่าอย่าได้หันหลังกลับไปมอง ถึงอย่างไรก็ต้องตายจากกัน

คำถาม - แล้วจะไม่กลับมาจริง ๆ หรือ?

คำตอบ - ขึ้นอยู่กับร่างกายเมื่อได้ไปถึงจุดหมาย หากยังปกติดีก็จะกลับมา แต่มีสภาพอยู่ไปก็ไร้ค่า ทำอะไรไม่ได้ ต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง คอยเป็นภาระให้ผู้ดูแล ผมก็จะไม่กลับมา

คำถาม - แล้วไม่ห่วงสมบัติที่มีอยู่หรือ?

คำตอบ - ผมจะจัดการสั่งเสียและมอบหมายให้ผู้ที่ยังสามารถรักษามันไว้ให้เป็นประโยชน์ต่อเยาวชนคนรุ่นหลังต่อไปได้ เครื่องดนตรีที่มีผู้เมตตามอบให้มาก็จะส่งคืนไปยังเจ้าของเดิมเพื่อเป็นที่ระลึก อาทิ เปียโนไฟฟ้าจากครูเตี๋ยง, ไวโอลินแฮนด์เมดจากคุณไพสิทธิ์, ฯลฯ


นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง...

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2563

เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?

อืมมมม... ถ้าอยู่ดี ๆ แล้วเกิดหลุมลึกอย่างที่เห็นในภาพขึ้นมาที่หน้าบ้านห้างฉัตร ผมจะทำอย่างไร?

ภาพแผ่นดินยุบ - นำมาจากอินเทอร์เน็ต ขอขอบคุณ


ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นเรื่องที่ต้องมองด้วยความพินิจพิเคราะห์ มีเว็บต่างประเทศนำเสนอเรื่องนี้ให้ได้ศึกษาเพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการเตรียมตัวเตรียมใจรับมือ ใช่ว่าจะเชื่อไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง...ผมเป็นผู้หนึ่งซึ่งเฝ้าติดตาม

ที่หลบภัยใต้ดิน - ภาพจากอินเทอร์เน็ต (ขอขอบคุณ)
 
ตัวเลข ข้อมูล และภาพที่ปรากฏชัด แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน จนตาแก่อย่างผมอาจออกปากได้ว่า "มันมาแน่ แต่ช้าหน่อย"
 
 
มิได้ปรารถนาให้มันเกิด แต่ไฉนเลยจะหลีกเลี่ยงกฎธรรมชาติได้ น้ำแข็งละลาย น้ำท่วม เขื่อนพัง ไฟป่า แผ่นดินไหว ทุกอย่างล้วนเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์  ผมอาศัยอยู่ในโลกนี้มานานพอแล้ว พ่อแม่ก็จากไปหมดสิ้น หากเกิดภัยพิบัติที่จะมาจบชีวิตให้ผมตามไปภายใน ๓-๔ ปีต่อจากนี้ ก็โอเคเลย แต่ถ้าถึงปี ๒๕๖๗ (ตัวเลขสวยกว่า ๙๙๙๙๙๗ การเอารัดเอาเปรียบที่มิรู้จักพอ) ยังมีชีวีอยู่ การเดินทางครั้งสุดท้ายจะต้องเกิดขึ้นแน่ เป้าหมายหรือ the last pin ผมปักเอาไว้ที่ Rotoruo ประเทศนิวซีแลนด์...
 

ก่อนหน้านั้นผมจะนำเงิน ๑ แสนบาทหรือประมาณ ๕,๐๐๐ เหรียญนิวซีแลนด์ไปคืนให้เพื่อน Graham ก่อน จากนั้นก็จะหาที่สงบ ๆ เพื่อปิดตำนานลุงน้ำชาอย่างง่าย ๆ

ภูเขาไฟในนิวซีแลนด์ - ขอขอบคุณที่มา bbc.com

เริ่มต้นเดือนกันยา (เดือนกลั้นอยาก)ข่าวปฏิวัติส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ว หุหุ หากเป็นจริงบ้านเมืองพังยับแน่นอน ไม่ต้องรอให้เขื่อนสามผาแตก ไม่ต้องรอให้เกิด poleshift ฯลฯ

เพื่อน ๆ เตรียมพร้อมหรือยังครับ?

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

คิดถึงสุเทพ วงศ์กำแหง

บล็อก countdown ของผมถึงอย่างไรก็คงไม่พ้นเรื่องของสัจธรรมแห่งชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในเมื่อความตายเป็นธรรมดา คนเราหนีความตายไม่พ้น


สุเทพ วงศ์กำแหง เป็นศิลปินนักร้องเพลงไทยสากลที่มีผลงานดีเด่นทั้งในและนอกประเทศเป็นเวลาต่อเนื่องกันมากว่า ๔๐ ปี มีผลงานขับร้องที่ประจักษ์ชัดเจนในความสามารถอันสูงส่ง ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล – ขับร้อง) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๓ 

ภาพจากวิกิพีเดีย - ขอขอบคุณ

ผมเคยพบคุณสุเทพ วงศ์กำแหง ตัวจริงเสียงจริง เมื่อปี ๒๕๑๓ หรือ ๒๕๑๔ นี่แหละ คือเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว  เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗...นักร้องเสียงขยี้แพรบนฟองเบียร์ ที่ผมเห็นในวันนั้นคงมีอายุ ๓๐ กว่า ๆ (ในภาพยังดูหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว)
 

ผมไปเล่นออร์แกนในงานแต่งงานที่ไหนจำไม่ได้แล้ว ในภาพมีติ๋วเล่นกีต้าร์ อนุพันธ์เล่นเบส ชนะตีกลอง อีกคนหนึ่งจำชื่อไม่ได้เล่นแอ็คคอร์เดียน  คุณสุเทพซึ่งมาร่วมในงานแต่งงาน อยู่ ๆ ก็ขึ้นเวทีมาบอกว่า "ไอ้น้อง คีย์ C  จังหวะวอลซ์ เล่นไป..."  แล้วท่านก็ร้องเพลง "รักคุณเข้าแล้ว" ่ ตามด้วยเพลงอะไรอีกที่ไม่รู้จัก ไม่ต้องมีอินโทร์หรือโซโล ร้องไปจนจบ...


ได้รับทราบว่าท่านได้เสียชีวิตแล้วเมื่อต้นปีนี้ (๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓) ขณะที่อายุได้ ๘๕ ปี ศิลปินผู้นี้ได้ทิ้งผลงานดีเด่นไว้ให้ประเทศไทยอย่างมากมาย ผมขอคารวะและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง 
พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี  นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรี สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา*
---------------------------------------------------------------------

*คำฉันท์ กฤษณาสอนน้อง (อินทรวิเชียรฉันท์)

คิดถึงพี่อุดม


เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ ผมเขียนไว้ในหัวข้อ “What a wonderful night!” ว่า...
After having a big meal in the beautiful wooden house of archan Prasit, the owner of Raiya Resort in Lampang, they moved to the open and sat near the campfire to enjoy chatting and drinking while being hugged by the bright moonlight and kissed by a puff of cold wind.  Yes, they are the same age.   “Old” is a suitable word that I dare say!   Khun Udom, the Director of Special Education Center in Maehongson, is sitting in the middle……”

หลังจากนั้นก็ได้เขียนถึงพี่อุดมอีกในหัวข้อ “Travellers never stop dreaming" ว่า...
ผมได้พบกับพี่อุดมเพียงครั้งเดียวที่ไร่หญ้ารีสอร์ท จากการได้คุยกับชายซึ่งกำลังจะปลดเกษียณและมีโครงการที่จะใช้ชีวิตท่อง เที่ยวผจญภัยในมหาวิทยาลัยชีวิต (ตามคำกล่าวของพี่อุดม) ทำให้ผมได้สัมผัสในความรักและไมตรีจิตจากพี่อุดม เรามีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเพียงแค่พบกันเพียงคืนเดียว ความรู้สึกผูกพันระหว่างผมกับพี่อุดมนั้นแนบแน่นคล้ายกับรู้จักกันมานานปี  เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว พี่อุดมได้โอนเงินจำนวน ๕ พันบาทเข้าบัญชีผมเพื่อสนับสนุนการแบกเป้ท่องเที่ยวไปลาว
ช่วงเดือนตุลาคม ผมพยายามติดต่อพี่ชายที่แสนดีทางอีเมล์และหวังว่าเมื่อได้พบกันอีกครั้ง ผมตั้งใจจะนำเงินจำนวน ๕ พันบาทนั้นคืนให้พี่อุดม ทั้ง ๆ ที่พี่อุดมบอกว่าให้แล้วให้เลย
ไม่ได้ข่าวคราวพี่อุดมนานแล้ว อยากรู้เหลือเกินว่าขณะนี้พี่อุดมกำลังทำอะไรอยู่?  เวลาของการนับถอยหลัง (countdown) มาถึงแล้ว ผมคงต้องรีบค้นหาพี่อุดมให้เจอก่อนที่จะหมดโอกาส

คิดถึง อจ.ฐาปนพงศ์ รัตนชมพู

กลับไปเปิดอ่านในบล็อก wichai's space เจอที่ผมเขียนไว้เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๓ ว่า "ผมคิดอะไรเมื่อสิบปีที่แล้ว" 


จาก ๑๐ ปีที่แล้ว (๒๕๕๓) มาถึงวันนี้ ๒๕๖๓ ต้องบวกอีก ๑๐ ปี กลายเป็น ๒๐ ปี  หุหุ ผมเกือบไม่เชื่่อว่าตัวเองเคยเขียนไว้ว่า...
ช่างเป็นการบังเอิญเหลือเกินที่ผมเห็นเศษกระดาษชิ้นหนึ่งตกอยู่ที่พื้นใกล้ ๆ กับกองสัมภารกซึ่งอยู่ใต้โต๊ะแล้วหยิบขึ้นดู…
มันเป็นข้อความที่ผมเขียนไว้เมื่อปลายปี ค.ศ. 1999 แล้วสั่งพิมพ์ลงบนกระดาษแบบต่อเนื่องด้วยเครื่องพิมพ์ประเภท dot matrix ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นเครื่องไหน (เคยมีเครื่องพิมพ์ใช้มากมายหลายตัวเหลือเกิน)  พี่จันทร์สมเคยบอกว่าผมเป็นคนบ้าสมบัติ ฮา เห็นจะจริง  ทั้งเครื่องพิมพ์ดีด (typewriter) และเครื่องพิมพ์ (printer) ผมคิดว่ารวมแล้วมันน่าจะเกือบยี่สิบตัวเห็นจะได้  หมดเงินไปหลายหมื่นแล้วจ้า
ข้อความที่ปรากฏบนกระดาษชิ้นดังกล่าวมีเพียงแค่ ๗-๘ บรรทัดเพราะส่วนที่มีต่อนั้นพิมพ์ไม่ติด น่าเสียดายที่มันบอกไม่ได้ทั้งหมดว่าตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่ เท่าที่อ่านได้มีแต่เพียงว่า…
When I start counting down
ใกล้ปี ค.ศ. 2000… มีคนบอกว่าโลกกำลังจะแตก สงครามกำลังจะเกิด และอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าอย่างงั้นก็ไม่ต้องทำอะไรเลยดีไหมล่ะ ขอนอนรอความตายลูกเดียว? คิดถึงคุณชวลิตกับคุณเพ็ญประภา เขาเพิ่งจะเริ่มงานที่บ้านใหม่ที่ซื้อไปจากเราได้แค่ 8 เดือนเอง แล้วจะทำอย่างไรกับหนี้สินที่ทำไว้กับทางธนาคารทหารไทย หรือรอให้น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำท่วมโลกเสียก่อน เอกสารทั้งสัญญากู้และโฉนดอาจจะถูกเผาและถูกทำลายไปสิ้น คิดอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว  ตึก HW ที่เราซื้อไว้ล่ะ มันจะต้องฟังไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ใช้งานเลยหรือนี่…”
“เอกสารชิ้นนี้บอกอะไรผมบ้าง?”   มันแสดงให้เห็นว่าเวลานั้นผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เผลอแป๊ปเดียวก็ครบหนึ่งทศวรรษ!  แปลกจังที่เมื่อสิบปีก่อน ผมก็เริ่มคิดถึงชีวิตที่ก้าวเดินสู่ความตายแล้ว คงเป็นเพราะการจากไปของแม่ปราณี และชีวิตที่มองไม่เห็นหนทางเดินที่ชัดเจนของผมในช่วงนั้นด้วยกระมัง...
ภาพที่ผมนำมาโพสต์ประกอบคือภาพดอกไม้จันทน์ ถ่ายที่สุสานไตรลักษณ์ ประตูม้า อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เมื่อผมไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพอาจารย์ฐาปนพงศ์ รัตนชมพู  อาจารย์สาขาวิชาดนตรี คณะมนุษยศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม  ๒๕๕๓



ทำให้ผมต้องกลับไปค้นหาไฟล์รูปเก่าซึ่งถ่ายด้วยกล้อง Olympus (มิว 20) เมื่อ ๒ ทศวรรษที่แล้ว...


ได้ภาพมาอีก ๓ บานดังนี้...





อาจารย์ฐาปนพงศ์จากพวกเราไปแล้วตั้ง ๒๐ ปีเชียวหรือนี่? 

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

countdown for an unreachable trip


เพิ่งเขียนลงใน facebook ของผม ว่า...
รองศาสตราจารย์ สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมลํ้า ได้ชี้ว่าคนไทยกำลังเผชิญกับความมืดมิด มองอนาคตตัวเองไม่ออก 'นรก' ขุมที่ลึกมากเกิดแน่!
มองไม่เห็นอนาคตตัวเองมานานแล้ว...นั่งคิด ๆ ดู ถ้าหากผมยังคงต้องเล่นเปียโนหากินในโรงแรมหรือเล่นอีเล็คโทนในห้องอาหารอย่างที่เคยประกอบอาชีพทำมาหากินในอดีต วันนี้ตาแก่เมืองรถม้าคนนี้คงต้องเผชิญกับภาวะตกงานเป็นแน่นอน โชคดีที่มาถึงจุดนี้แล้ว...ผมไม่มีอะไรหวังอีก ขอเวลาอีกนิดเดียวสำหรับการอัพเกรดเจ้ายักษ์และเตรียมห้องพยาบาล (healing room) ซึ่งจะต้องทำให้เสร็จด้วยงบประมาณอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะ "ขาบอยู่"  อย่างแท้จริง!
หลายคนตัดช่องน้อยแต่พอตัวอำลาโลกไปแล้ว ไม่น่าเชื่อจริง ๆ สำหรับแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนี้ ผมไม่จำเป็นต้องนำภาพข่าวในแต่ละมุมโลกมาให้ดู เพราะเชื่อว่าเพื่อน ๆ คงได้เห็นและติดตามมาโดยตลอด หลายคนอาจยังไม่ตระหนักถึงวิกฤตที่จะเกิดขึ้น บางคนสายป่านยังยาว บ้างก็จมไม่ลง ครั้นถึงจุดที่เลวร้ายที่สุด บางครั้งเงินจำนวนมากมายอาจช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากสติและการเตรียมตัวที่ดีเท่านั้น
พยายามจะไม่นำลิงค์มาโพสต์ใน facebook อีก หากเพื่อน ๆ ที่ยังไม่เบื่อ ก็เจอกันในแต่ละบล็อกของผมนะครับ...
ผมชอบใจที่ Yongyuth Unchiti  เพื่อนมงฟอร์ตแสดงความคิดเห็นว่า "เตรียมเจ้ายักษ์ไว้สำหรับทริปที่ไม่มีวี่แววว่าจะมาถึง? ผมเองก็เตรียมไว้สองสามคัน...แต่คงไม่มีวันได้ on tour"   อืมม...จริง ๆ ด้วย เจ้า final trip ซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะมาถึง (unreachable trip) อย่างที่เพื่อนโย่งของผมกล่าวถึง จึงเป็นแค่ความฝัน แต่ก็เป็นความฝันซึ่งนำมาซึ่งความสุขใจ

ดีใจที่ได้อัพเกรดเจ้ายักษ์ ผมได้ลงมือซ่อม ติดตั้งอะไหล่ และปรับแต่ง ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องจักรยานเพิ่มขึ้นจากแค่เพียงใช้งานอย่างเดียว...




ถึงอย่างไรผมก็ยังคงนับถอยหลัง สู่ความฝันเรื่อง final trip ต่อไป!

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2563

2021

นับถอยหลังทุกวัน... หลับตาก่อนนอน ผมก็นึกว่าพรุ่งนี้จะได้ตื่นขึ้นมาหรือเปล่า? เตรียมใจไว้เสมอสำหรับเหตุการณ์ร้ายและภัยพิบัติใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้...


คิดถึงเมื่อตอนไปเวียดนาม ผมได้เยือนพระเจดีย์ An Quang สถานที่ซึ่งพระ Thieh Ouang Duc ออกเดินทางไปยังจัตุรัสบนถนน Phan dinh Phung ในไซง่อน เพื่อประท้วงด้วยการเผาตัวเองเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๐๖



คนเช่นนี้คือวีรบุรุษผู้กำหนดวันตายให้กับตัวเองอย่างไม่หวาดหวั่น....



แต่บางครั้งความตายและการพลัดพรากก็มาถึงกับผู้คนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ผมคิดถึงพี่อาลี ผู้จากไปด้วยอาการภาวะหัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure) หลังจากที่เราได้พบกันที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านั้นไม่นาน....


ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้กลับไปบังกลาเทศเพื่อเคารพศพพี่อาลี ก่อนที่ตัวเองจะจากโลกนี้ตามไปเช่นกัน เมื่อวานนี้ผมไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลห้างฉัตร คุณหมอวัลลภบอกว่าไตผมดี น่าจะมีอายุยืนยาว ผมกลับไม่เชื่อเช่นนั้น เพราะคาดว่าภัยพิบัติจะมายังโลกในไม่ช้านี้....


ผมติดตาม Planet X News รับข่าวสารจาก Scott C'one มาได้ระยะนึงแล้ว เห็นเค้าเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงรอบ ๆ ดวงอาทิตย์มาอย่างต่อเนื่อง...



เมื่อวานนี้ Scott นำภาพสิ่งที่เขาได้เห็นมาโพสต์เตือนภัย...


เขียนว่า "Deny it if you want and if you do, you're just fooling yourself."  ผมแสดงความคิดเห็นไปว่า "From Lampang, Thailand, I do not deny it, Scott, believe that something frightening would be coming to Earth soon."


มีคนตอบกลับมาว่า "2021"  หุหุ ปีหน้านี้แย้ว!!

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

สี่ปีที่เค้าท์ดาวน์


เช้าตรู่วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๙...  ออกจากเมืองอุดมไชย สปป.ลาว ผมปั่นจักรยานพับมาบนทางหลวงหมายเลข 4A มุ่งหน้าสู่เมืองหงสา


ต้องเผชิญกับความสูงชันของเส้นทางผ่านเทือกเขา ความหิวกระหายเมื่อขาดน้ำและอาหาร รวมทั้งสูดอากาศที่มีมลภาวะจากการเผาป่า ดังได้เขียนเล่าไว้แล้วใน The unforgettable ride 


โชคดีได้พบคนลำพูน ๒ คน คืออาจารย์จัตุรัสและเพื่อนทนาย ซึ่งขับรถปิกอัพผ่านมาเจอตาแก่เมืองรถม้าแล้วช่วยให้เดินทางกลับถึงบ้านที่ห้างฉัตรได้ก่อนกำหนด


กาลเวลาผ่านไปเร็วไวยิ่งนัก!  เย็นวันนี้ผมมีโอกาสได้พบกับชายใจดี ๒ คนที่เคยช่วยผมเมื่อ ๔ ปีที่แล้วอีกครั้ง อาจารย์จัตุรัสและเพื่อนทนายขี่จักรยานยนต์แวะมาเยี่ยมถึงบ้าน...


เป็นการได้รวมตัวกันอีกครั้ง (reunion) ของชายสูงวัย ๓ คน...



ทำไมผมถึงได้คิดว่าเค้าท์ดาวน์มา ๔ ปีแล้ว?  เมื่อเริ่มนับถอยหลัง (countdown) ก็หมายความว่าผมตระหนักแล้วว่า ชีวิตต่อจากนี้ไปทุกอย่างล้วนเสื่อมถอย มีหลายครั้งที่ผมบอกตัวเองว่าความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเลย! 


มาพบกันวันนี้เราก็แก่ลงไป แม้ว่าจะยังมีฝันอยู่บ้าง แต่ก็เป็นแค่เพียงการใช้ชีวิตบั้นปลายให้คุ้มค่าเท่าที่ทำได้ การเดินทางท่องเที่ยวเป็นอีกหนึ่งกิจกรรม เพื่อนทนายมากับรถคันแดง...





อาจารย์จัตุรัสมากับเจ้าสีนิล...








เห็นขวดน้ำที่อยู่หน้ารถ ผมคิดถึงวันที่อาศัยมากับรถปิกอัพของอาจารย์จัตุรัส เมื่อผมต้องเรียกขอน้ำดื่มเพื่อดับกระหาย...




คุยกับเพื่อนผู้มาเยือนเกี่ยวกับ final trip ผมพูดถึงความคิดที่จะยุติการเดินทางอันยาวไกลแล้วทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างลงในปล่องภูเขาไปในอินโดนีเซียหรือนิวซีแลนด์ 

เจษฎา บัวบาล ได้เขียนไว้ในเว็บประชาไทในบทความเรื่อง "การฆ่าตัวตายไม่ใช่เรื่องเลวร้าย" ว่า...
พระอรหันต์และโพธิสัตว์ฆ่าตัวตายแล้วถูกยกย่อง
ใน วักกลิสูตร (สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ข้อ 215-221) พระวักกลิได้ป่วยหนักและทรมานมาก จึงบอกให้พระช่วยนิมนต์พระพุทธเจ้ามาเยี่ยม พระองค์ได้เทศน์เรื่องขันธ์ห้าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และไม่ใช่ตัวตนให้ฟัง ซึ่งพระวักกลิก็เห็นด้วยและบอกว่า ตนเข้าใจในสิ่งนั้น จนไม่มีความยึดติดผูกพันธ์กับร่างกายนี้ แต่กระนั้น อาการปวดก็ไม่ได้ลดลง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย ความตายอันไม่ต่ำช้าจะมีแก่เธอ” หมายถึง เมื่อตายไปจะไม่ตกนรกหรืออบายภูมิแน่ อาจเพราะพระองค์มั่นใจว่าพระวักกลิไม่ยึดติดในขันธ์นี้แล้ว
สุดท้ายพระวักกลิก็เลือกจะจบชีวิตด้วยเองด้วยการฆ่าตัวตาย และพระพุทธเจ้าก็ตรัสรับรองว่า วักกลิจะไม่ไปเกิด เพราะเขาบรรลุธรรมและนิพพานแล้ว เช่นเดียวกับพระฉันนะ ที่ฆ่าตัวตายเพื่อหนีความเจ็บป่วย แต่ก่อนตายท่านมีความกลัวมาก ท่านได้ใช้สติพิจารณาความกลัวจนเกิดความเข้าใจว่าความกลัวก็เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์และไม่มีตัวตน ท่านจึงได้บรรลุธรรมไปก่อนตายนั่นเอง การฆ่าตัวตายของพระวักกลิและฉันนะจึงไม่ได้รับการตำหนิ เพราะท่านถูกทำให้เชื่อว่า เป็นพระอรหันต์ แม้ตายก็ไม่เกิดใหม่แล้ว
ojs.mcu.ac.th เขียนว่า...
การฆ่าตัวตายเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถพบได้ในทุกสังคมในโลกนี้ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน และศาสนาทุกศาสนายืนยันว่า การฆ่าตัวตายเป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำและผิดศีลธรรม โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา พระองค์ตรัสว่า “กิจฺโฉ มนุสฺสปฺปฎิลาโภ การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งยากยิ่ง” ฉะนั้นมนุษย์ควรรักษาชีวิต เพื่อพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายสูงสุด
romyenchurch.org เขียนว่า...
พระคริสตธรรมคัมภีร์มีพระบัญญัติว่า "อย่าฆ่าคน" ไม่ว่าจะฆ่าตัวเองหรือฆ่าผู้อื่น ชีวิตมาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิต ฉะนั้นเราไม่มีสิทธิ์ที่จะทำลายมัน...
isranews.org เขียนว่า
การฆ่าตัวตายถือเป็นบาปใหญ่และถือเป็นหายนะที่มนุษย์พึงหลีกเลี่ยง คัมภีร์กุรอานได้กล่าวเตือนสติมนุษย์ความว่า “...และพวกเจ้าจงอย่ายื่นมือของพวกเจ้าเข้าไปสู่ความหายนะ...” (อัลกุรอาน 2:195)
(ขอขอบคุณที่มาของทุก ๆ ข้อมูล)

 

อีก ๔ ปี...ผมจะมีโอกาสได้มายืนอยู่หน้าบ้านห้างฉัตร รอรับเพื่อน ๆ สูงวัยที่แวะมาเยือนเช่นนี้อีกหรือเปล่า?

คิดถึงหมอหนุ่ย

ต าแก่เมืองรถม้าได้เห็นรูปที่เพื่อนมงฟอร์ตไปพบปะกันทุกวันอาทิตย์ที่ร้านกาแฟของเสี่ยใหญ่ (คนนั่งกลาง) ด้วยความยินดี...  ภาพจาก facebook เพ...