วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2567

คิดถึงหมอหนุ่ย

าแก่เมืองรถม้าได้เห็นรูปที่เพื่อนมงฟอร์ตไปพบปะกันทุกวันอาทิตย์ที่ร้านกาแฟของเสี่ยใหญ่ (คนนั่งกลาง) ด้วยความยินดี... 

ภาพจาก facebook เพื่อนจำรัส - ขอขอบคุณ

ขออนุญาตนำภาพมาโพสต์ต่อเพื่อบันทึกความทรงจำ ถึงมิตรภาพของเพื่อนนักเรียนมงฟอร์ตรุ่น 08 ซึ่งมีต่อกันอย่างแน่นแฟ้นและยาวนาน วันนี้ทุกคนล้วนแก่เฒ่าด้วยวัย 70++ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงสังขารธรรมไปได้แม้แต่คนเดียว!!  อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นโอกาสดีที่เพื่อน (ยืนคู่กับเสี่ยใหญ่) เดินทางจากบ้านในนิวยอร์ค ประเทศอเมริกาได้มาร่วมเจอะเจอกัน...

ภาพจาก facebook เพื่อนจำรัส - ขอขอบคุณ

ขออำภัยที่เพื่อนหมาว้อ (ม.ว.) คนนี้ไม่สามารถไปร่วมสังสรรค์ด้วย แต่ก็ได้มอบความรักและความคิดถึงให้แก่เพื่อน MC 08 มานานแล้ว!

ที่โรงเรียนมงฟอร์ต ผมได้เล่นกีต้าร์ร่วมกับเพื่อน ๆ ในวันคริสต์มาส ปี 08 ก่อนที่พวกเราจะจากกันในปีต่อมา


เห็นรูปเก่าที่มีอยู่ ทำให้ผมคิดถึงเพื่อนอีกคนที่ได้ย้ายไปอยู่อเมริกาตั้งแต่จบมงฟอร์ต "จักรกฤษณ์ ศรีวิชัย"  ชื่อเล่นของเขาคือ "หนุ่ย" บ้านอยู่ร้านใบเมี้ยง อาคารพาณิชย์เก่าบนถนนวิชยานนท์ (ด้านหน้าหันไปทางตลาดวโรรส ด้านหลังหันไปแม่น้ำปิง) อยู่ใกล้กับเสี่ยใหญ่เสี่ยน้อยในย่านที่เจริญที่สุดของเมืองเชียงใหม่...
 

หนุ่ยเป็นเด็กเรียนเก่ง เล่นกีต้าร์เก่งด้วย เขาเคยไปเล่นกีต้าร์ที่บ้านทุ่งโฮเต็ลของผม และสอนให้ผมรู้จักการเล่นเสกลที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ตั้งแต่จบการศึกษาเราก็ไม่ได้พบเห็นกันอีก ผมไปเรียนช่างไฟฟ้าต่อที่วิทยาลัยเทคนิคภาพพายัพ ส่วนหนุ่ยไปเมกาแล้วหายเงียบ ได้ทราบอีกทีเมื่อมีอินเทอร์เน็ตและ social media ว่าหนุ่ยได้กลายเป็นนายแพทย์ชาวอเมริกันผู้ร่ำรวย เลี้ยงหมาราคาเป็นล้าน ด้วยความอยากรู้ว่าบ้านของหมอหนุ่ยอยู่ที่ไหน ใหญ่โตเพียงใด ผมอาศัย address ในหนังสือที่ได้รับแจกค้นหารูปภาพมาได้ดังนี้... 
 
 
 
 
โห... บ้านหลังใหญ่ติดทะเลสาบ ชีวิตของหมอหนุ่ยช่างน่าอิจฉายิ่งนัก

 

 
สำหรับเด็กชายตัวเล็ก ๆ อย่างผม ได้กลายเป็นตาแก่บ้านห้างฉัตรที่ได้เงินช่วยเหลือจากรัฐเดือนละ 700 บาทเท่านั้น!! ทุกวันนี้สวมกางเกงสะดอ มีแค่หมาที่พระให้มาฟรี ๆ อยู่เป็นเพื่อน...
 

ไม่จำเป็นต้องมีบ้านอยู่ริมทะเลสาบ แต่มีความสุขพอ ๆ กัน...ผมอาจพอใจที่จะโถมร่างลงสู่ทะเลสาบใดก็ได้ในอินโดนีเซียหรือนิวซีแลนด์เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2567

จบชีวิตตัวเอง

มได้อ่านข่าวเกี่ยวกับอดีตนายตำรวจอายุ 77 ปี ผู้ปลิดชีพตัวเองเมื่อเช้าวันนี้ (27 มีนาคม 2567)

ภาพจากเดลินิวส์ - ขอขอบคุณ

ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหายของผู้ตายมาด้วย ณ ที่นี้

ผู้ตายได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ว่า "กระผมยิงตัวตายเอง เพื่อหนีโรคภัยไข้เจ็บ เสร็จคดีขอมอบอาวุธปืนของกลางให้ พงส. ผู้ทำคดีนี้ หมายเหตุ กระผมทำด้วยตนเอง"   ขอหยิบยกกรณีนี้ขึ้นมา เพื่อคารวะยกย่องในการตัดสินใจของท่านอดีตนายตำรวจผู้ยอมสละชีวิตตนเองเพื่อให้พ้นจากความทุกข์ยากของตนเองและผู้อื่น หลังจากใช้ชีวิตแบบได้กำไรมาจนถึงวัย 77 ปีเมื่อถูกรุมเร้าด้วยโรคาพยาธิทั้งปวง...  

สำหรับผมแล้วก็คิดเช่นเดียวกัน กล่าวคือวันใดที่มีสภาพร่างกายช่วยตนเองไม่ได้ ต้องนอนให้คนอื่นเทอุจจาระปัสสาวะให้แล้วละก็ การจบชีวิตจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของผม ด้วยเหตุนี้จึงมีเพื่อน ๆ บางคนได้ยินผมพูดถึงเรื่องเดินทางไปภูเขาไฟในอินโดนีเซียหรือนิวซีแลนด์ (คนที่เข้าใจความคิดของผมได้ดีที่สุดคือ Deja ผู้ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อเมื่อปลายปีที่แล้ว)...

 

ผมเองคงไม่มีปืน (ในชีวิตเคยยิงปืน 3 นัดด้วยปืนเล็กยาวแบบบรรจุเองที่สนามยิงปืนหนองฮ่อตอนเรียน ร.ด. ปีสุดท้าย) จึงคิดว่าการเดินทางแบบ trekking ถ่อสังขารไปในดินแดนไกลโพ้นจนถึงชายขอบทะเลหรือใกล้ปล่องภูเขาไฟ มันน่าจะให้ความสุขในช่วงสุดท้ายได้มากกว่าการใช้ปืนเป็นแน่แท้

  

ทะเลสาบโตบา - ภาพจากวิกิพีเดีย (ขอขอบคุณ)

ที่ว่ากันว่าปีนี้ 2567 จะมีการตายเกิดขึ้นค่อนข้างมาก เห็นท่าจะจริง ดูข่าวที่ลงให้อ่านอย่างต่อเนื่องสิครับ อย่างเช่นเมื่อวันที่ 26 ที่ผ่านมาท่านเจ้าอาวาสของวัดแห่งหนึ่งก็มรณภาพจากไปอย่างสงบด้วยสิริอายุ 91 ปี ทิ้งเงินเก็บไว้มากมาย...

"Countdown กันได้แล้ว...เรา" ผมบอกตัวเองอยู่เสมอ!

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2567

พร้อมแล้วจ้า...

มดู AQI (ดัชนีคุณภาพอากาศ) แบบเรียลไทม์จากรายงานของสถานีอุตุนิยมวิทยาลำปาง...
 
 
อยากรู้จังว่าชีวิตตาแก่คนนึงเช่นผมจะมีโอกาสได้อยู่กับธรรมชาติอันมีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจ มีท้องฟ้าสดใสให้แหงนหน้าถ่ายภาพ มีต้นไม้ใบหญ้าและดอกไม้นานาพันธุ์ให้ทัศนา ไปทางใดก็เห็นแต่รอยยิ้มเปี่ยมเมตตาและดวงตาใสซื่อของผู้คนรอบกาย...ได้อีกนานแค่ไหน????  ฤาว่าใกล้วาระที่ธรรมชาติลงโทษพวกเราแล้ว?
 

คิดถึงภาพรถตู้ของคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งวิ่งมารับศพผู้บริจาคกลับไปเป็นอาจารย์ใหญ่... ผมอยากเป็นหนึ่งในผู้โดยสารที่จะนอนไปบนนั้น อย่างไร้ทุกข์ ไร้ความเจ็บปวด หมดซึ่งความเป็นห่วงหวงแหนในสมบัติพัสถานใด ๆ ทั้งสิ้นทั้งปวง...
 
 
มาเถอะครับ มาไว ๆ ผมทำใจพร้อมแล้ว!!

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2567

ขอแสดงความเสียใจ...

มื่อวานนี้ผมได้รับข่าวเรื่องรถยนต์คนเมาขับชนขบวนนักปั่นจักรยานออกกำลังกายยามเช้าและทำให้นักปั่นเสียชีวิต ๒ คน....ด้วยความหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง


ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยครับ คนหนึ่งเป็นชายอายุ ๖๑ ปี อีกคนหนึ่งเป็นหญิงอายุ ๕๙ ปี เช้านี้ผมได้เห็นคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดแล้วยิ่งรู้สึกเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง!

ภาพจาก thairath online - ขอขอบคุณ

ผู้เสียชีวิตออกจากบ้าน จากลูกจากเมียเพื่อปั่นจักรยานออกกำลังกับเพื่อนนักปั่นด้วยกัน สวมหมวกกันน็อคและสวมเสื้อผ้าสีสดเห็นได้ชัดเจน วิ่งอยู่ในเลนซ้ายสุดตามกันมา จะมีใครคิดว่าอยู่ ๆ จะมีคนเมาขับรถเก๋งเข้ามาชน...



ภาพที่เห็นคงเป็นวินาทีสุดท้ายที่นักปั่นจักรยานรู้ตัว ผมรู้สึกเสียใจจริง ๆ ครับกับชีวิตที่สูญเสียไปเพราะความเลวร้ายในประเทศซึ่งมิได้คำนึงถึงความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างพอเพียง กี่ครั้งแล้วที่นักปั่นท่องโลกต้องมาเสียชีวิตบนท้องถนนประเทศไทย  เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๕  นักปั่นจักรยานทัวร์ริ่งชื่อดังของไทย ก็ถูกรถสิบล้อเฉี่ยวชนเสียชีวิตที่นครราชสีมา


เพื่อน ๆ ที่รัก....หากปั่นจักรยานบนท้องถนนหลวงเมืองไทย กรุณาระมัดระวังอย่างสูงสุดด้วยนะครับ พยายามหลีกเลี่ยงทางหลวงซึ่งอันตราย ใช้เส้นทางชนบทที่มีรถราไม่มากจะดีกว่า แล้วเลือกเวลาที่ปลอดภัยด้วยนะครับ...


การจากไปโดยมิได้เตรียมใจไว้ก่อนเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับผู้ที่อยู่ข้างหลัง ผมเสียใจด้วยจริง ๆ ตรับ... 

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2567

วัดศรีชุมในวันที่เรายังมิได้นับถอยหลัง

ล็อก countdown ของผมมักพูดเรื่องความตายเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากผู้เขียนกำลังนับถอยหลังสู่วาระสุดท้ายอยู่ทุกขณะจิต!

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ผมได้รับข้อความแจ้งว่า "วีระเดชเสียแล้ว เมื่อเช้าที่ 24 พ.ย. มอบร่างให้ ร พ สวนดอก" ทุกวันนี้คิดถึงเพื่อนคนนี้บ่อยครั้งเหลือเกิน...เตือนสติอยู่เสมอในเรื่องความตาย!

เริ่มนับถอยหลังแล้ว....ผมค้นเจอภาพเมื่อครั้งที่ Deja มาเยี่ยมที่บ้านปงแสนทองและเราได้ไปเที่ยวชมวัดศรีชุมด้วยกัน จึงขออนุญาตนำมาโพสต์ไว้ ณ บล็อก countdown แห่งนี้

 ภาพถ่ายด้วยกล้อง Olympus ตัวเล็ก ๆ อาจไม่คมชัด


 
 
 
 
 

 


 





โพสต์เก็บไว้ให้เพื่อนผู้ล่วงลับได้รับรู้ว่า "คิดถึง" ภาพเหล่านี้จะอยู่ใน cyber world ตลอดไป จนถึงวันที่ผู้ถ่ายภาพได้ตามไปดูด้วยกัน!

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567

ความตายเจ้าขา

"ความตาย" มาเถอะ! มาเร็ว ๆ !  มาก่อนที่ผมจะต้องเผชิญความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน และความยุ่งยากในการมีชีวิต...

ไม่กลัวความตายอีกต่อไป...อยู่มาจนถึงวัยนี้ก็ได้กอบโกยกำไรในชีวิตมาอย่างเกินคุ้มแล้ว ลูกหลานก็ไม่มี ห่วงในทรัพย์สมบัติก็ไม่มี ผมแค่หยุดหายใจแล้วจากไป มันจะมีอะไรอีกที่ต้องกังวล?

เคยปั่นจักรยานไปชลบุรี-บางแสน ตามถนนราดยางจากกรุงเทพฯ ในขณะที่บรรดานักปั่นจักรยานจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันนี้ยังไม่เคยคิดทำหรือมีโอกาสได้ทำ แล้วจะเอาอะไร? 

 
มีแค่หีบเพลงตัวเล็ก ๆ ก็สร้างความสุขให้กับตัวเองได้ ไม่ต้องมี 120-bass-accordion หรือเครื่องดนตรีราคาแพง...

ไม่ต้องการเครื่องเสียงดี ๆ มี Frequency Response ระดับสุดยอด... ผมต้องการฟังแค่เสียงลมและเสียงนกร้อง

ไม่ว่าจะโด่งดังแค่ไหน...ก็ไม่มีใครอยู่รอดสักคน

เมื่อเวลาผ่านไป เด็กตัวเล็กตัวน้อยที่เคยสอน ตอนนี้ก็เติบโตเป็นหนุ่มสาวกันหมดแล้ว...


เมื่อตายไป...โปรดอย่าได้เสียใจ ผมไม่ต้องการดอกไม้จันทน์หรือขบวนรอทำความเคารพใด ๆ ทั้งสิ้น....

ข้าพเจ้าได้รับสิ่งดี ๆ ที่พระเจ้าประทานให้เป็นพิเศษทุกสิ่งอย่าง ไม่หลงเหลืออะไรที่ต้องรอคอยอีกต่อไป...

คิดถึงพี่ดำรง สุ่นกุล

ผ มเพิ่งโพสต์เรื่อง "จากสามเหลือหนึ่ง" ลง บล็อก countdown ได้ไม่นาน... หลายต่อหลายคน จากผมไปแล้ว วันนี้เจอกระดาษซึ่งพี่ " ดำ...