วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2567

Back in the Saddle Again


 
ผ่านพ้น time to clean up  วันนี้ผมนำเตียงกลับขึ้นสู่ห้องพยาบาลบนชั้นสองเรียบร้อยแล้ว (ขอขอบคุณคุณอู๊ดเพื่อนบ้านที่ช่วยยก)
 
 
ประกอบกลับเข้าที่...
 
 
 
ได้เวลาเก็บมุ้งแอร์
 
 
 
ระหว่างปลดสายดึง 4 มุมผมเห็นรูปภาพบนผนังทำให้คิดถึงผู้วาด (Deja) ผู้จากไปก่อนหน้านี้แล้ว

 
 

มุมสุดท้าย...มีกระเป๋าหนังจากยุโรปที่ Deja มอบให้ไว้แขวนอยู่!
 

นำรูปขี้นแขวนตามเดิม...
 
 
เก็บข้าวของอุปกรณ์รักษาพยาบาลออกจากหลังเปียโน คืนสภาพจากโต๊ะวางเวชภัณฑ์ให้กลับมาเป็นเครื่องดนตรีเรียบร้อยแล้ว!!

 
เตรียม urine bags ที่สั่งซื้อมา รอน้องพยาบาลที่เคยมาทำแผลกดทับให้พี่สิทธิ์นำไปใช้กับคนไข้ติดเตียงคนอื่น

 
 
นึกถึงเพลง Back in the Saddle Again ของ Gene Autry ที่ผมเคยร้องกับ Deja ตั้งใจว่าจะกลับไปร้องกับ accordion 
 
Gene Autry -  BACK IN THE SADDLE AGAIN 
 
ต่อไปผมจะกล่อมโลกด้วยเสียงดนตรีอีกครั้งครับ!

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2567

Time to clean up

ม่ต้อง countdown อีกต่อไป...วันนี้ผมเริ่มเก็บของ ทำความสะอาด และซักผ้า...
 
 
เสื้อที่ให้พี่สิทธิ์ใส่นอนบนเตียงพยาบาลมีแค่ 2-3 ตัว เคยจับเสื้อดึงตัวผู้ป่วย! กลิ่นยังติดจมูกอยู่เลย ตากผ้าแล้วผมลงมาทำความสะอาดเตียงและเบาะลม...

ตากแดดไว้หน้าบ้านก่อนเก็บ...


 ทำความสะอาดพื้น...

 


มีเจ้าอู่หลงเท่านั้นที่คอยเป็นเพื่อน!

สิ้นสุดความทุกข์ทรมาน

สิ้นสุดการ countdown... หมดสิ้นซึ่งความทุกข์ทรมานแล้วนะพี่!

 

เริ่มต้นใช้ชีวิตต่อไป เช้านี้ผมโพสต์ขอบคุณเพื่อน ๆ ใน facebook แล้วดังนี้...

ขอกราบขอบคุณเพื่อน ๆ สำหรับความเมตตา ความห่วงใย กำลังใจ และทุก ๆ ข้อความที่ส่งให้ ขออภัยมิได้เขียนตอบ ผมซาบซึ้งใจและมีความรู้สึกว่ามิได้อยู่เดียวดาย...

พี่ชายผมเสียเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 67 เวลา 13.10 น. ผมนั่งอยู่ด้วยตลอดเวลาจนพี่เค้าหมดลม ไม่กลัวไม่ตกใจเพราะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว...

ผมจัดการทุกอย่างด้วยความมีสติ ปิดตาให้ สวมเสื้อผ้าให้ แจ้งกำนัน และติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยเทศบาลห้างฉัตรแม่ตาล ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ไปแจ้งโรงพยาบาลและอำเภอ ได้รับมรณบัตรเมื่อเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง กลับถึงบ้านรถกู้ภัยเขาเคลื่อนศพไปฌาปนกิจสถานแล้ว ผมตามไป ได้ยกโลงเข้าเตาเผา บอกพี่ให้ไปสู่สุขคติ ไม่ต้องเป็นห่วงน้องซึ่งอยู่ข้างหลัง...
ผ่านมาแล้ว 4 วัน ผมยังมิได้เก็บเตียงพยาบาลและอุปกรณ์เครื่องใช้ ทุกเช้าปั่นจักรยานไปใส่บาตร วันนี้แหละที่ผมจะเริ่มเก็บผ้าไปซัก รื้อเตียง ทำความสะอาด และจัดของในร้านเปียโนให้เข้าที่เหมือนเดิม...
ต่อจากนี้ก็จะยังคงอยู่ที่บ้านห้างฉัตร อยู่คนเดียวกับเจ้าอู่หลง ตั้งใจทำความดีเพื่อสังคมให้ได้เท่าที่พอจะมีความสามารถ อยากจะเป็นผู้ให้มากยิ่งขึ้นครับ...


 

ขอกราบขอบคุณเพื่อน ๆ อีกครั้ง...

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

เกิดมา ตั้งอยู่ แล้วดับไป

30 พฤษภาคม 2567

สิ้นสุดการ countdown เมื่อเวลา 13.10 น. วันนี้ ร่างกายที่ทุกข์ทรมานของพี่ประสิทธิ์กลายเป็นเถ้าถ่านเพื่อกลับคืนสู่ผืนดินแล้วครับ....

 

ขอดวงวิญญาณของพี่ชายผมได้สู่สุคติด้วยเทอญ...


อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

เมื่อความตายใกล้เข้ามา!

นเรามิอาจรู้วันตาย แต่บางครั้งเราก็พอสัมผัสได้ว่าการก้าวสู่ความตายนั้นเริ่มถูกนับถอยหลัง (countdown)

คิดถึง ทิก กว๋าง ดึ๊ก (เกิดปี ค.ศ. 1897 — 11 มิถุนายน ค.ศ. 1963) พระภิกษุมหายานชาวเวียดนามที่จุดไฟเผาตัวเองจนมรณภาพ ณ ถนนสี่แยกกรุงไซง่อน เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2506 จิตใจสงบและแข็งแกร่งยิ่งนักในยามที่ท่านนับถอยหลังเข้าสู่ความตาย  จริง ๆ แล้ว...ความตายเป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัวเลย ยิ่งหลับตายไหลตายนับเป็นการจากไปอย่างไร้ความเจ็บปวดทรมาน  ผมคิดถึง Deja เพื่อนผู้จากไปเมื่อปลายปีที่แล้ว...ในวันที่ยังมีลมหายใจเคยมาหาที่ลำปางแล้วเราไปถ่ายรูปวัดพม่าด้วยกัน

คิดถึงพี่ Ali ผู้ที่ผมเดินทางลงไปพบที่กรุงเทพ ก่อนที่ท่านจะจากไปเนื่องจากภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อใดที่มีอิสระและร่างกายยังเดินทางได้ ผมก็อยากไปเคารพศพของพี่เค้าที่เมือง Khulna ฺบังกลาเทศให้ได้

ต่อจากนี้ไปผมคงต้องเขียนบล็อก countdown อย่างต่อเนื่อง เพราะพี่ชายผมเริ่มเข้าสู่การ countdown แล้วอย่างชัดเจน

เด็กชายประสิทธิ์สวมนาฬิกา

กาลเวลาผ่านไป 70 กว่าปี...ผมรู้ดีว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมาในฐานะเป็นน้องชาย...ว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2 เดือนเมื่อเขากลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง...

 
ไม่กี่วันที่มานี้ผมนอนโดนยุงกัด ทำให้คิดถึงพี่ชายซึ่งนอนอยู่ชั้นล่างสุด วันรุ่งขึ้นต้องย้ายเตียงพยาบาลลงมาให้พี่เค้านอน การย้ายเตียงหนัก ๆ ลงบันไดมาคนเดียวเป็นงานหนักทำให้ผมบาดเจ็บที่นิ้วเท้า  ในที่สุดก็ติดตั้งมุ้งแอร์ให้เขานอน ตอนกลางคืนจะได้ไม่ถูกยุงกัด! ทุกอย่างทำได้สำเร็จ คุ้มกับที่ได้ซื้อหามาให้ใช้งานไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไป!

เมื่อเช้านี้ผมใช้น้ำเกลือทำความสะอาดสายสวนปัสสาวะและบริเวณใกล้เคียง พบว่ามีหนองไหลออกมา ในขณะที่ความดันโลหิคลดต่ำและกินอาหารแทบไม่ได้ เขาเริ่มพูดจาเลอะเลือนและลืมตาไม่ค่อยขึ้นแล้ว

 
เกิดแล้วก็ตาย ในขณะนับถอยหลัง ขอจงหลับตา ปล่อยวางทุกสิ่งอย่าง คิดถึงความสุขสงบที่รออยู่เบื้องบนนะพี่!

วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2567

คิดถึงหมอหนุ่ย

าแก่เมืองรถม้าได้เห็นรูปที่เพื่อนมงฟอร์ตไปพบปะกันทุกวันอาทิตย์ที่ร้านกาแฟของเสี่ยใหญ่ (คนนั่งกลาง) ด้วยความยินดี... 

ภาพจาก facebook เพื่อนจำรัส - ขอขอบคุณ

ขออนุญาตนำภาพมาโพสต์ต่อเพื่อบันทึกความทรงจำ ถึงมิตรภาพของเพื่อนนักเรียนมงฟอร์ตรุ่น 08 ซึ่งมีต่อกันอย่างแน่นแฟ้นและยาวนาน วันนี้ทุกคนล้วนแก่เฒ่าด้วยวัย 70++ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงสังขารธรรมไปได้แม้แต่คนเดียว!!  อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นโอกาสดีที่เพื่อน (ยืนคู่กับเสี่ยใหญ่) เดินทางจากบ้านในนิวยอร์ค ประเทศอเมริกาได้มาร่วมเจอะเจอกัน...

ภาพจาก facebook เพื่อนจำรัส - ขอขอบคุณ

ขออำภัยที่เพื่อนหมาว้อ (ม.ว.) คนนี้ไม่สามารถไปร่วมสังสรรค์ด้วย แต่ก็ได้มอบความรักและความคิดถึงให้แก่เพื่อน MC 08 มานานแล้ว!

ที่โรงเรียนมงฟอร์ต ผมได้เล่นกีต้าร์ร่วมกับเพื่อน ๆ ในวันคริสต์มาส ปี 08 ก่อนที่พวกเราจะจากกันในปีต่อมา


เห็นรูปเก่าที่มีอยู่ ทำให้ผมคิดถึงเพื่อนอีกคนที่ได้ย้ายไปอยู่อเมริกาตั้งแต่จบมงฟอร์ต "จักรกฤษณ์ ศรีวิชัย"  ชื่อเล่นของเขาคือ "หนุ่ย" บ้านอยู่ร้านใบเมี้ยง อาคารพาณิชย์เก่าบนถนนวิชยานนท์ (ด้านหน้าหันไปทางตลาดวโรรส ด้านหลังหันไปแม่น้ำปิง) อยู่ใกล้กับเสี่ยใหญ่เสี่ยน้อยในย่านที่เจริญที่สุดของเมืองเชียงใหม่...
 

หนุ่ยเป็นเด็กเรียนเก่ง เล่นกีต้าร์เก่งด้วย เขาเคยไปเล่นกีต้าร์ที่บ้านทุ่งโฮเต็ลของผม และสอนให้ผมรู้จักการเล่นเสกลที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ตั้งแต่จบการศึกษาเราก็ไม่ได้พบเห็นกันอีก ผมไปเรียนช่างไฟฟ้าต่อที่วิทยาลัยเทคนิคภาพพายัพ ส่วนหนุ่ยไปเมกาแล้วหายเงียบ ได้ทราบอีกทีเมื่อมีอินเทอร์เน็ตและ social media ว่าหนุ่ยได้กลายเป็นนายแพทย์ชาวอเมริกันผู้ร่ำรวย เลี้ยงหมาราคาเป็นล้าน ด้วยความอยากรู้ว่าบ้านของหมอหนุ่ยอยู่ที่ไหน ใหญ่โตเพียงใด ผมอาศัย address ในหนังสือที่ได้รับแจกค้นหารูปภาพมาได้ดังนี้... 
 
 
 
 
โห... บ้านหลังใหญ่ติดทะเลสาบ ชีวิตของหมอหนุ่ยช่างน่าอิจฉายิ่งนัก

 

 
สำหรับเด็กชายตัวเล็ก ๆ อย่างผม ได้กลายเป็นตาแก่บ้านห้างฉัตรที่ได้เงินช่วยเหลือจากรัฐเดือนละ 700 บาทเท่านั้น!! ทุกวันนี้สวมกางเกงสะดอ มีแค่หมาที่พระให้มาฟรี ๆ อยู่เป็นเพื่อน...
 

ไม่จำเป็นต้องมีบ้านอยู่ริมทะเลสาบ แต่มีความสุขพอ ๆ กัน...ผมอาจพอใจที่จะโถมร่างลงสู่ทะเลสาบใดก็ได้ในอินโดนีเซียหรือนิวซีแลนด์เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2567

จบชีวิตตัวเอง

มได้อ่านข่าวเกี่ยวกับอดีตนายตำรวจอายุ 77 ปี ผู้ปลิดชีพตัวเองเมื่อเช้าวันนี้ (27 มีนาคม 2567)

ภาพจากเดลินิวส์ - ขอขอบคุณ

ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหายของผู้ตายมาด้วย ณ ที่นี้

ผู้ตายได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ว่า "กระผมยิงตัวตายเอง เพื่อหนีโรคภัยไข้เจ็บ เสร็จคดีขอมอบอาวุธปืนของกลางให้ พงส. ผู้ทำคดีนี้ หมายเหตุ กระผมทำด้วยตนเอง"   ขอหยิบยกกรณีนี้ขึ้นมา เพื่อคารวะยกย่องในการตัดสินใจของท่านอดีตนายตำรวจผู้ยอมสละชีวิตตนเองเพื่อให้พ้นจากความทุกข์ยากของตนเองและผู้อื่น หลังจากใช้ชีวิตแบบได้กำไรมาจนถึงวัย 77 ปีเมื่อถูกรุมเร้าด้วยโรคาพยาธิทั้งปวง...  

สำหรับผมแล้วก็คิดเช่นเดียวกัน กล่าวคือวันใดที่มีสภาพร่างกายช่วยตนเองไม่ได้ ต้องนอนให้คนอื่นเทอุจจาระปัสสาวะให้แล้วละก็ การจบชีวิตจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของผม ด้วยเหตุนี้จึงมีเพื่อน ๆ บางคนได้ยินผมพูดถึงเรื่องเดินทางไปภูเขาไฟในอินโดนีเซียหรือนิวซีแลนด์ (คนที่เข้าใจความคิดของผมได้ดีที่สุดคือ Deja ผู้ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อเมื่อปลายปีที่แล้ว)...

 

ผมเองคงไม่มีปืน (ในชีวิตเคยยิงปืน 3 นัดด้วยปืนเล็กยาวแบบบรรจุเองที่สนามยิงปืนหนองฮ่อตอนเรียน ร.ด. ปีสุดท้าย) จึงคิดว่าการเดินทางแบบ trekking ถ่อสังขารไปในดินแดนไกลโพ้นจนถึงชายขอบทะเลหรือใกล้ปล่องภูเขาไฟ มันน่าจะให้ความสุขในช่วงสุดท้ายได้มากกว่าการใช้ปืนเป็นแน่แท้

  

ทะเลสาบโตบา - ภาพจากวิกิพีเดีย (ขอขอบคุณ)

ที่ว่ากันว่าปีนี้ 2567 จะมีการตายเกิดขึ้นค่อนข้างมาก เห็นท่าจะจริง ดูข่าวที่ลงให้อ่านอย่างต่อเนื่องสิครับ อย่างเช่นเมื่อวันที่ 26 ที่ผ่านมาท่านเจ้าอาวาสของวัดแห่งหนึ่งก็มรณภาพจากไปอย่างสงบด้วยสิริอายุ 91 ปี ทิ้งเงินเก็บไว้มากมาย...

"Countdown กันได้แล้ว...เรา" ผมบอกตัวเองอยู่เสมอ!

Back in the Saddle Again

  ผ่ านพ้น time to clean up  วันนี้ผมนำเตียงกลับขึ้นสู่ห้องพยาบาลบนชั้นสองเรียบร้อยแล้ว (ขอขอบคุณคุณอู๊ดเพื่อนบ้านที่ช่วยยก)     ประกอบกล...