วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2568

ภาระกิจสุดท้ายของผม

 
ทบทุกคืน หลังสามทุ่มผมจะพยายามข่มตาหลับให้ได้ แต่มักจะตื่นขึ้นมากลางดึกตอนตี 2 ตี 3 พร้อมกับความฝันซึ่งจำได้บ้างไม่ได้บ้าง! ก็ได้แต่นอนพิจารณาลมหายใจเข้าออกและใคร่ครวญถึงความตาย 
 
 
บรรดาญาติมิตร ครูบาอาจารย์ และผู้ที่รู้จักได้จากไปแล้วจนมิอาจนับจำนวน...เหลือแต่ความว่างเปล่าและโดดเดี่ยวให้กับตาแก่บ้านห้างฉัตร
 
 
ชีวิตทุกวันนี้เปรียบเหมือนจักรยานที่วิ่งไปตามเส้นทางปกคลุมด้วยหมอกหนาซึ่งแต่ก่อนล้อเคยหมุนเร็วจี๋ วิ่งผ่านธรรมชาติงดงามแม้จะต้องฝ่าพายุฝนเป็นครั้งคราว ถึงวันนี้กลับช้าลงจนแทบจะหยุดหมุน ณ จุดใดจุดหนึ่งซึ่งมิอาจคาดเดา...
 
 
อนิจฺจา วต สงฺขารา... สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ตั้งต้นปี 2568 มาแล้ว ผมสังเกตเห็นความเสื่อมของร่างกายตนเองเด่นชัดขึ้น รู้สึกเหนื่อยอ่อน เมื่อยล้า แขนขาลีบลง ปวดฟันจนต้องไปหาหมอฟันที่โรงพยาบาล สายตาเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเกิดเบื่อหน่ายในกิจกรรมใด ๆ 
 

พูดถึงเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยและการดูแล...
 
 
 
ผมเคยทำมาหลายอย่าง ตั้งแต่เทกระโถน ใส่แพมเพริส ล้วงก้น ป้อนอาหารทางสายยาง ฯลฯ สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมอยู่ในสภาพผู้ป่วยติดเตียงนอนใส่ท่อและสายระโยงระยาง งานที่เคยทำให้ผู้อื่น...ผมจะไม่ยอมให้ใครต้องลำบากทำกับผมเป็นอันขาด 

ภาพจาก pixabay.com - ขอขอบคุณ
 

อยู่มาจนชีวิตบั้นปลาย ทุกวันนี้ผมไม่สามารถบริจาคโลหิตได้อีก ไม่มีความรู้สมัยใหม่ที่จะให้ ไม่มีเงินทองช่วยใคร คิดว่าที่ผ่านมาได้ทำดีที่สุดเท่าที่ศักยภาพพึงมี ทุกอย่างเป็นแค่ภาพเก่าในอดีต...

 วันนี้ค้นเจอจดหมายจากเพื่อนชาวนิวซีแลนด์ เขียนถึงผมเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2544  Grahm บอกผมว่า "If you wanted to come to NZ, I couldn't pay for your airfare, but I could definately give you a room to stay and feed you. I could give you a job in the store too ! One way or another I am confident we'll meet you again before too long.

จะ too long หรือไม่ too long มิอาจคาดได้ ผมรู้แต่ว่า...ยังมีภาระกิจชิ้นสำคัญก่อนปิดฉากสุดท้ายคือ ไปนิวซีแลนด์เพื่อนำเงินลงทุนที่เพื่อนส่งมาร่วมลงทุนร้านอาหารปลาเผาข้างบ้านปงแสนทองไปคืน (พร้อมอีกหนึ่งก้อนที่จะมอบให้เป็นมรดก) ถึงตอนนั้นผมไม่ต้องการตั้งรกรากหรือหาความสุขกับชีวิตต่างแดนแต่อย่างใด ไม่ต้องการทำงานหาเงินและไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น แค่อยากสัมผัสความร้อนจากภูเขาไฟ หรือไม่ก็ความหนาวเย็นของภูเขาน้ำแข็ง...

ภาพจาก science-howstuffworks.com - ขอขอบคุณ

และหลับตาลงได้โดยไม่เจ็บปวด!!

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

พินัยกรรมชีวิต

ผ่นดินไหวขนาดเมกะทรัสต์ (Megathrust earthquake) เริ่มมาแล้วครับ!!!
 
ภาพจากคลิปวิดีโอ TheGeoModels - ขอขอบคุณ
 
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี กล่าวว่า... 
แผ่นดินไหวแบบเมกะทรัสต์เกิดขึ้นที่ขอบแผ่นเปลือกโลกที่บรรจบกัน โดยแผ่นเปลือกโลกแผ่นหนึ่งถูกดันให้อยู่ใต้แผ่นเปลือกโลกอีกแผ่นหนึ่ง แผ่นดินไหวเกิดจากการเลื่อนตัวไปตามรอยเลื่อนที่ก่อให้เกิดรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกทั้งสองแผ่นดินไหวระหว่างแผ่นเปลือกโลก เหล่านี้ถือเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงมากที่สุดของโลก โดยมีค่าโมเมนต์แมกนิจูด ( Mw) ที่อาจเกิน 9.0 นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2443 เป็นต้นมา แผ่นดินไหวที่มีขนาด 9.0 หรือมากกว่าทั้งหมดล้วนเป็นแผ่นดินไหวแบบเมกะทรัสต์

ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับ! หาได้กลัวหรือหวั่นวิตกใด ๆ กับภัยพิบัติต่าง ๆ ไม่ แต่นอนคิดว่าตัวเองยังมิได้จัดการเรื่องเอกสารต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จก่อนถึงเวลาต้องจากโลกนี้ไป เช้านี้ตาแก่บ้านห้างฉัตรมองภาพตัวเองในกระจกเงา บอกตัวเองว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว  

 
ค้นหาเอกสาร "หนังสือสำคัญการอุทิศร่างกายเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว" ซึ่งทำไว้ตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2525... (43 ปีที่แล้ว) จนเจอ เพื่อให้แน่ใจว่าหลักฐานยังอยู่ครบถ้วน
 
 
ได้เอกสารแล้วก็สบายใจ เก็บใส่ซองไว้ดังเดิม นำบัตรประจำตัวผู้อุทิศร่างกายให้คณะแพทย์ศาสตร์มาปัดฝุ่นแล้วเก็บใส่กระเป๋าตังค์ไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้ง่ายสุด ใครก็ตามที่พบศพผมจะได้ช่วยดำเนินการต่อ... 
 
 
 
ยังมีอีกอย่างนึงคือทำพินัยกรรมชีวิต โดยจะเขียนลงบนกระดาษด้วยลายมือตนเองว่า...
 "หากข้าพเจ้าใกล้ตาย โปรดกรุณาอย่าทำ CPR เมื่อตายแล้วกรุณาแจ้งให้คณะกายวิภาค โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ มารับศพไปเป็นอาจารย์ใหญ่โดยเร็วที่สุด ในกรณีที่สภาพร่างกายใช้ไม่ได้ ขอให้ทำการเผาโดยมิต้องทำพิธีใด ๆ เสร็จแล้วนำเถ้ากระดูกไปใส่โคนต้นไม้เพื่อเป็นปุ๋ยต่อไป" 

อย่างนี้ยังไม่เป็นทางการนะครับ ต้องเขียนเป็นหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขไว้อีกฉบับ

 
 

ที่ผมเขียนเองก็ใส่กระเป๋าตังค์เก็บคู่ไว้กับบัตร จะได้หมดห่วงก่อนถึงเวลาปั่นจักรยานเดินทางท่องไปในวันที่ฟ้าใส... 
 
 
ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ห่วงใยและส่งใจถึงกันนะครับ...

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2568

เศษซากแห่งความทรงจำในมัณฑะเลย์

วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๗ เวลาประมาณตีสี่กว่า ๆ ผมมาถึงวัดมหามัยมุนี ทันได้เห็นพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี ...

วันนั้นนั่งอยู่ตรงนี้แหละ... 


ยังทันได้เก็บภาพจากจอ monitor ที่แขวนอยู่ข้างหน้า...

วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๘ เกิดแผ่นดินไหวระดับ ๗.๗ ริกเตอร์...

ภาพข่าวจากอินเทอร์เน็ต - ขอขอบคุณ

ตรงที่ผมเคยนั่งเมื่อ ๑๑ ปีที่แล้ว ถูกถมทับด้วยซากสลักหักพัง...ในเวลาต่อมา

ภาพข่าวจากอินเทอร์เน็ต - ขอขอบคุณ

ภาพข่าวจากอินเทอร์เน็ต - ขอขอบคุณ

ภาพข่าวจากอินเทอร์เน็ต - ขอขอบคุณ

ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียของประเทศพม่า ความเสียหายนั้นรุนแรงเกินกว่าที่จะบรรยาย คงอีกนานกว่าการฟื้นฟูจะกลับมาเหมือนเดิม ผมคงไม่มีโอกาสได้กลับมาเยือนอีกแล้วจริง ๆ...  


ตาแก่เมืองรถม้าเหลือเพียงเศษซากแห่งความทรงจำซึ่งจะคงอยู่จนกว่าสิ้นลม!

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2568

คิดถึง ศจ. ระพี สาคริก

มนำกระป๋องเพาะต้นไม้มาวางไว้ริมหน้าต่างให้ได้รับแสงสว่าง แล้วคอยพรมน้ำให้บ้างตามสมควร...

มิได้เป็นคนมือเย็น ผมไม่ได้ตั้งความหวังว่าต้นไม้ที่เพาะเลี้ยงภายใต้ฝ่ามือของตาแก่บ้านห้างฉัตรคนนี้จะเติบโตงอกงาม ในใจคิดว่า เกิดมา-ตั้งอยู่-ดับไป อยู่เสมอ วันนี้มีโอกาสได้นำสมุดเก็บ clipping ออกมาเปิดดู...

 

ในพจนานุกรม ให้ความหมาย clipping ว่าเป็น "กฤตภาค, ข่าวในหนังสือพิมพ์ที่ตัดเป็นชิ้นๆ การเล็มออก สิ่งที่ใช้ตัดหรือเล็ม ข่าวสารที่ตัดจากหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร...."   ผมเป็นคนอย่างเนี้ยแหละ คือชอบสะสมอะไรต่ออะไรเอาไว้ ไม่คิดหรอกว่ามันจะกลายเป็นขยะในวาระสุดท้ายของชีวิตผม

มันอาจดูไร้ค่าสำหรับคนอื่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นใหม่) แต่ผมกลับรู้สึกภูมิใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้บรรจงตัดเก็บข่าวหรือบทความที่มีประโยชน์จากหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารเก็บไว้ และรูปของ ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก ที่ผมตัดเก็บไว้ ก็ทำให้ต้องคิดถึงบุคคลผู้ที่ผมเคารพและศรัทธาในความดีของท่านเสมอมา เคยติดตามดูรายการที่ท่านจัดทางโทรทัศน์ อ่านหนังสือที่ท่านเขียน จนกระทั่งถึงวันที่ท่านจากหายไป...


วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี กล่าวว่า...

ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก "บิดาแห่งกล้วยไม้ไทย" (4 ธันวาคม พ.ศ. 2465 - 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561) ราษฎรอาวุโส นักวิจัย นักวิชาการเกษตรผู้บุกเบิกวงการกล้วยไม้ของประเทศไทยสู่สากล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นอดีตนายกสภาสถาบันอาศรมศิลป์

ศาสตราจารย์ระพี สาคริกเคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ รวมทั้งตำแหน่งอื่น ๆ ที่สำคัญอีกมากมาย แม้จะเกษียณอายุราชการนานแล้วก็ตาม ศาสตราจารย์ระพี สาคริกก็ยังได้รับความเคารพยกย่องเป็นปูชนียบุคคล โดยเฉพาะในวงการศึกษาและวงการกล้วยไม้ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น บิดาแห่งกล้วยไม้ไทย

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางศาลมีคำสั่งให้ศาสตราจารย์ระพี สาคริก เป็นคนไร้ความสามารถ ให้อยู่ในความอนุบาลของนางมาลีกันยา สาคริก ผู้ร้อง ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ 712/2560 คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ พ 996/2560 โดยระบุว่ายื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ศาสตราจารย์ระพีเป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของ มาลีกันยา สาคริก บุตรสาวของศาสตราจารย์ระพี เนื่องจากป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ โรคพาร์กินสัน มีอาการสมองเสื่อม และโรคถุงลมเรื้อรัง ไม่สามารถทำงานและช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องมีคนคอยดูแลตลอดเวลา ถือว่าเป็นบุคคลวิกลจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 โดยประกาศในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560   ศาสตราจารย์ระพีถึงแก่อนิจกรรมในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 จากภาวะเลือดเป็นพิษเหตุติดเชื้อ สิริรวมอายุ 95 ปี

ภาพจาก moac.go.th - ขอขอบคุณ

ความดีและผลงานของท่านมีมากมายเหลือคณานับ ผมขอกราบคารวะด้วยความเคารพยิ่งครั

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2568

โคโดคุชิ (Kodokushi)

าลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนมิอาจนิ่งดูดาย... ผมต้องเตรียมตัวสำหรับการตายโดยลำพังได้แล้ว!!


ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า...

ไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ปัญหาหนึ่งคือมีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่มีญาติหรือลูกหลานดูแล สัดส่วนของคนแก่ที่อาศัยตามลำพังเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในปี 2564 มีผู้สูงอายุที่อยู่ตัวคนเดียวถึง1.6 ล้านคน หรือคิดเป็น 12% ของจำนวนผู้อายุทั้งหมด และอีก 21% อยู่ตามลำพังกับคู่สมรส...

ภาพจาก manager online - ขอขอบคุณ

ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน กล่าวใน The Standard ว่า

ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังเจอปรากฎการณ์โคโดคุชิ (Kodokushi) คือตายอย่างโดดเดี่ยวมากขึ้น จากเหตุผลของสังคมและประชากรของญี่ปุ่นที่อยู่ในภาวะสังคมผู้สูงอายุ ทำให้การตายอย่างโดดเดี่ยวในบ้านหรือที่พักอาศัยมีจำนวนที่เยอะขึ้น ในญี่ปุ่นมีผู้สูงอายุ 6 หมื่นกว่ารายเสียชีวิตโดยลำพังในปี 2024 ที่ผ่านมา...
ภาพ capture จากคลิป "ตายโดดเดี่ยว ฉากต่อไปของสังคมไทย" โดย The Standard - ขอขอบคุณ

ภาพ capture จากคลิป "ตายโดดเดี่ยว ฉากต่อไปของสังคมไทย" โดย The Standard - ขอขอบคุณ

ภาพ capture จากคลิป "ตายโดดเดี่ยว ฉากต่อไปของสังคมไทย" โดย The Standard - ขอขอบคุณ

ภาพ capture จากคลิป "ตายโดดเดี่ยว ฉากต่อไปของสังคมไทย" โดย The Standard - ขอขอบคุณ

ด้วยความชื่นชม...ผมเคยเห็นรอยสักบนแขนของชายใจดีคนหนึ่งมีใจความว่า "ผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษาและวิจัยให้แก่คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่......"  
 
 
ทีแรกก็อยากจะสักตาม (แถมยังจะเพิ่มคำว่า No CPR บนแผ่นอก) แต่คิด ๆ ดูแล้วว่าอายุของผมมากแล้ว ใกล้เวลาที่จะนำร่างกายของผมไปใช้ หากไม่ได้ตายด้วยอุบัติเหตุ การตายโดดเดี่ยวซึ่งร่างกายยังสภาพดีก็จะสามารถเอาไปศึกษาได้อย่างสมบูรณ์ ผมจึงเลิกล้มความคิดที่จะสัก แต่จะเตรียมตัวใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ติดดิน ไม่ขึ้นที่สูง ไม่เสี่ยง ซึ่งถ้าจะให้ดีแล้วควรต้องย้ายจากอาคารพาณิชย์ที่อยู่ในปัจจุบัน ไปหาที่อยู่ใหม่ในบ้านชั้นเดียว ไม่ต้องขึ้นบันได อยู่ติดดินและไม่ต้องเดินบนพื้นคอนกรีตลื่น ๆ เรื่องนี้คงต้องหาทางขยับขยายภายในปีนี้ เพื่อรองรับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นด้วย
 
ถ้าถามว่าแล้วยังอยากจะปั่นจักรยานท่องโลกอยู่มั้ย? คำตอบคือ "หากเป็นไปได้ ผมก็จะทำตามที่ฝันไว้กับสหัสเดช" แต่จะไม่ผิดหวังและเสียใจหากไม่ได้ทำ...
 
 
ทุกครั้งที่เดินทางกับเจ้า Banian จักรยานพับล้อ 20 นิ้ว ก่อนจะกดปุ่มสวิชเพื่อเปิดประตูรถดีเซลรางลงไปยังชานชาลาสถานีรถไฟ ผมรู้ว่าประตูกำลังจะเปิดให้ก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางที่รออยู่ข้างหน้า เวลามีไม่มากนักแล้ว จะเหลืออีกสักกี่ครั้งที่ตาแก่คนนี้จะมีโอกาสได้เอื้อมมือไปกดสวิชเปิดประตู...


ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นครับตอนนี้ สงบ...และพร้อมเสมอสำหรับโคโดคุชิ (Kodokushi)

ภาระกิจสุดท้ายของผม

  แ ทบทุกคืน หลังสามทุ่มผมจะพยายามข่มตาหลับให้ได้ แต่มักจะตื่นขึ้นมากลางดึกตอนตี 2 ตี 3 พร้อมกับความฝันซึ่งจำได้บ้างไม่ได้บ้าง! ก็ได้แต่นอนพ...